https://firstojs.com/index.php/MBU/issue/feed การขับเคลื่อนนวัตกรรมทางพุทธศาสตร์ล้านนาสู่สากลด้วยยุทธศาสตร์ SOFT POWER 2024-06-28T04:26:06+00:00 ผศ.ดร.อุเทน ลาพิงค์ Khunten2002@yahoo.com Open Journal Systems <p>ประชุมสัมมนาทางวิชาระดับชาติ ครั้งที่ 2 และนานาชาติ ครั้งที่ 1 วันที่ 19 เมษายน 2567</p> <p><img src="/public/site/images/boonnam/429331517_944824050027570_5138656658032401544_n.png"></p> https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1279 Buddhist Philosophy for Developing the Good Citizenship of Thailand 2024-05-30T02:38:59+00:00 chantarat chan Tapuling chantarat.ta@mcu.ac.th Matchima Vachirapho mvtru44@hotmail.com Somwang Kaewsufong somwangksf@gmail.com Narunee Srisuk narunee2533@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;">The harmonious and peaceful society creating in Thailand that involves every citizen behaving as responsible members of a democratic monarchy under the reign of the King. The principles of good citizenship by Buddhist concepts are living by rules and discipline, being responsible, non-violence, kindness, and generosity, focusing on the common interest, truth speaking, abiding by </span><span style="font-weight: 400;">Iddhipāda</span><span style="font-weight: 400;"> (The Four Paths of Accomplishment),</span><span style="font-weight: 400;"> Saṅgahavatthu</span><span style="font-weight: 400;"> (Principle of kindly treatment), </span><span style="font-weight: 400;">Brahmavihāra</span><span style="font-weight: 400;"> (The Four Noble Sentiments), </span><span style="font-weight: 400;">Sāraṇīyadhamma </span><span style="font-weight: 400;">(States of conciliation) and the Five Precepts. These Dhamma principles are fundamental for societal coexistence and contribute to the development of a better Thai citizenry. Citizenship development must start in the individual mind before and become the good citizen. The individual must develop themselves integrally and following</span><span style="font-weight: 400;"> Sikkhāttaya</span><span style="font-weight: 400;"> (The Threefold Training): morality, concentration, and wisdom. There are the developing steps by</span><span style="font-weight: 400;"> Bhāvanā</span><span style="font-weight: 400;"> (The Four Principles of Practice): physical development, behavioral improvement, emotional growth, and intellectual enhancement to prepare individuals to become good citizens according to Buddhist philosophy. </span></p> 2024-05-29T08:21:15+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1287 คุณค่าของผลงานวรรณกรรมบาลีของพระสิริมังคลาจารย์ 2024-05-30T02:43:03+00:00 จุมพล สุยะต๊ะ Jumpolsuyata@gmail.com จตุภูมิ แสนคํา Jumpolsuyata@gmail.com พระพงษ์ระวี อุตฺตรภทฺโท (โหลิมชยโชติกุล) mosmolee263@gmail.com <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความนี้มุ่งนำเสนอคุณค่าของผลงานวรรณกรรมบาลีของพระสิริมังคลาจารย์ผู้มีผลงานโดดเด่นในยุคทองของพระพุทธศาสนาในล้านนา (พุทธศตวรรษที่ 21) โดยปรากฎผลงาน 4 เรื่อง กล่าวคือ 1) เวสสันตรทีปนี 2) จักกวาฬทีปนี 3) สังขยาปกาสกฎีกา และ 4) มังคลัตถทีปนี จากการศึกษาคุณค่าของผลงาน พบคุณค่า ๓ ด้าน คือ 1) ด้านภาษา 2) ด้านสาระทางธรรม&nbsp; และ 3) ด้านสังคม ด้านภาษา เวสสันตรทีปนี มีคุณค่าในฐานะคู่มือคำศัพท์ในการศึกษาเวสสันตรชาดก จักกวาฬทีปนี มีคุณค่าในการรวบรวมองค์ความรู้ด้านภูมิวิทยาของจักรวาลจากคัมภีร์ต่างๆ มังคลัตถทีปนี มีคุณค่าทางภาษาอย่างสูง จนถูกนำมาเป็นวรรณกรรมต้นแบบของบาลีในประเทศไทย โดยใช้เป็นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย และสังขยาปกาสกฎีกา มีคุณค่าในฐานะคู่มือในการศึกษาเกี่ยวกับมาตราชั่ง ตวง วัด ส่วนด้านสาระทางธรรม เวสสันตรทีปนีมุ่งแสดงหลักธรรมของการบำเพ็ญทานบารมีในชุดปัญจมหาบริจาค จักกวาฬทีปนี มุ่งแสดงหลักธรรมเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมและภาพรวมของไตรภูมิ มังคลัตถทีปนี มุ่งแสดงสารัตถะของพระมงคลสูตรอย่างละเอียดลึกซึ้ง จนถูกนำมาใช้เป็นคัมภีร์ต้นฉบับในการแสดงธรรม สังขยาปกาสกฎีกา แม้มิได้ปรากฏคุณค่าด้านสาระทางธรรมโดยตรง แต่ก็ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาสาระของจักกวาฬทีปนีที่ว่าด้วยภาพรวมของไตรภูมิ จากคุณค่าทางด้านภาษาและสาระทางธรรมดังกล่าวมา ส่งผลให้เกิดคุณค่าทางด้านสังคมอย่างประจักษ์ชัด วรรณกรรมเหล่านี้เป็นเสมือนครูที่ผู้ศึกษาได้ยึดเป็นแบบแผนในการเรียนรู้ทั้งในแง่ของภาษาและเนื้อหาสาระ รวมถึงวิถีอัตลักษณ์ของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจากประวัติของผู้รจนา คุณค่าของผลงานดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงคุณูปการของผู้สร้างผลงาน กล่าวคือพระสิริมังคลาจารย์ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาปราชญ์แห่งล้านนา ผู้มีผลงานที่ทรงคุณูปการต่อการศึกษา การเผยแผ่ และการดํารงอยู่แห่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระศาสนา นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน</p> 2024-05-29T08:23:55+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1282 ข้างหลังโปสการ์ด : การบันทึกโลกที่พบเห็นในมุมมองผู้หญิง ตามแนวการศึกษาวรรณกรรมการเดินทาง 2024-05-30T01:14:07+00:00 อทิวรา คำเมือง Wassanak62@nu.ac.th ภาคภูมิ สุขเจริญ Pakpooms@nu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบันทึกโลกที่พบเห็นในต่างแดนในมุมมองผู้หญิงผ่านสารคดีข้างหลังโปสการ์ดของหลานเสรีไทย (136) ในฐานะวรรณกรรมการเดินทาง ด้วยกรอบแนวคิดวรรณกรรมการเดินทาง &nbsp;โดยใช้วิธีการวิจัยเอกสารในสารคดีท่องเที่ยว เรื่อง ข้างหลังโปสการ์ด ของหลานเสรีไทย (136) และนำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่าประเด็นประสบการณ์เกี่ยวกับผู้คนในต่างแดน ความไม่เท่าเทียมทางเพศยังคงมีให้เห็นในสังคมที่เขาเดินทางไป และภายในสังคมนั้น ๆ มีการยอมรับในความเป็นพหุวัฒนธรรม ส่วนประเด็นประสบการณ์เกี่ยวกับสถานที่ในต่างแดน&nbsp; ค้นพบว่ามีประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมักมีภูมิประเทศหรือสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการท่องเที่ยว ความเป็นเมืองท่องเที่ยวทำให้มีสถานที่เปลี่ยนไปจากสภาพดั้งเดิม และประวัติความเป็นมาในทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ต้องการนำเสนอสถานที่ในแต่ละพื้นที่&nbsp; และในส่วนสุดท้ายประสบการณ์เกี่ยวกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม สังคม ในต่างแดน ได้แก่ ประเพณี ความเชื่อ ที่สืบทอดมายาวนาน การนับถือศาสนาและเทพต่าง ๆ และการใช้ภาษาในการสื่อสาร ทั้งหมดนี้สื่อให้เห็นถึงการค้นพบมุมมองใหม่ ๆ และสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย&nbsp; ผ่านเลนส์ของนักเดินทางผู้หญิง</p> 2024-05-29T00:00:00+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1236 การวิเคราะห์โวหารภาพพจน์ในเพลงของเทย์เลอร์สวิฟต์ 2024-05-30T02:52:00+00:00 วารุณี ใจแก้ว Sukhphan2525@gmail.com พระพชรพงศ์ แผ่นทอง Sukhphan2525@gmail.com ภราดร สุขพันธ์ sukhphan2525@gmail.com วิภาพร สุรินทร์ธรรม Sukhphan2525@gmail.com จันทนี กันโฑ Sukhphan2525@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การใช้โวหารภาพพจน์ในเพลงของเทยเลอร์ สวิฟต์มุ่งเน้นการวิเคราะห์การใช้โวหารภาพพจน์ในเพลงของเทยเลอร์ สวิฟต์ เพื่อเข้าใจรูปแบบและลักษณะการใช้ภาษาในเพลงของเธอ โดยการกำหนดขอบเขตของการวิจัยเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากแอพลิเคชั่น Youtube ในช่อง Taylor Swift จำนวน 15 เพลง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าโวหารภาพพจน์ที่เจอมากที่สุดในเพลงของเทยเลอร์ สวิฟต์ คือ Hyperbole ซึ่งเป็นการใช้ภาษาเพื่อเสริมความเข้มข้นและสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ในเพลงของเธอ นอกจากนี้ยังพบว่าโวหารภาพพจน์อื่นๆ เช่น Simile, Metaphor, Allusion, Metonymy, และ Paradox ก็ถูกใช้อย่างสม่ำเสมอในเพลงของเธอ เป็นการสร้างความสนใจและความหลากหลายในเนื้อหาของเพลง ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ผู้วิจัยได้ใช้เป็นอ้างอิงโดยชี้ให้เห็นถึงความสอดคล้องระหว่างการวิเคราะห์เนื้อหาของเพลงและโวหารภาพพจน์ที่ปรากฏในเพลงของ Taylor Swift ทั้งหมด โดยสรุปแล้ว งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นได้ว่าเทยเลอร์ สวิฟต์ใช้โวหารภาพพจน์อย่างหลากหลายเพื่อสื่อความหมาย อารมณ์ และความรู้สึกในเพลงของเธอ ช่วยเพิ่มเติมเนื้อหาและนำเสนอประเด็นในเพลงอย่างน่าสนใจ</p> 2024-05-29T08:35:13+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1251 วัจนลีลาในหนังสือคำสอนสำหรับพระป่าอีสาน 2024-05-30T02:54:51+00:00 กุสุมา สุ่มมาตร์ kusuma3083@gmail.com กิตติคุณ ภูลายยาว kittikhun.pho@mbu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัจนลีลาที่ปรากฏในหนังสือคำสอนสำหรับพระป่าอีสาน</p> <p>&nbsp;โดยมีหนังสือคำสอนที่ใช้ศึกษา 5 เล่ม ได้แก่ 1) กรรมฐาน 40 สมาธิแบบพระพุทธเจ้าจำนวน 55 เรื่อง<br> ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต 2) วิปัสสนาสมาธิภาวนารักษาใจ จำนวน 50 เรื่องของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร &nbsp;3) รวมโอวาทหลังปาฏิโมกข์ จำนวน75 เรื่องของพระราชนิโรธรังสีปัญญาวิศิษฏิ์ (เทสก์ เทสรังสี) 4) 48 พระธรรมเทศนา จำนวน 25 เรื่องของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) 5) เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม จำนวน 31 เรื่อง ของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) รวมจำนวนทั้งสิ้น 236 เรื่อง ทั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>หนังสือคำสอนสำหรับสอนพระสงฆ์ของพระป่าอีสานมีการใช้วัจนลีลามี 7 วัจน</p> <p>ลีลา ทั้งสิ้น 7 ลักษณะ เรียงลำดับความถี่ของข้อมูลที่ปรากฏจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้&nbsp; 1) วัจนลีลาแจ่มชัด <br> 2) วัจนลีลาถูกต้องแม่นยำ 3) วัจนลีลาชัดถ้อยชัดคำ 4) วัจนลีลาซับซ้อน 5) วัจนลีลาโน้มน้าว 6) วัจนลีลาบังคับ-ชี้นำ 7) วัจนลีลาเป็นปึกแผ่น ทั้งนี้ จากวัจนลีลาดังกล่าวหนังสือธรรมะของพระสายปฏิบัติอีสาน<br> สำหรับสอนพระสงฆ์จัดเป็นลักษณะ (characteristics)ของภาษาพุทธศาสนา</p> 2024-05-29T08:37:51+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1295 บุหงาบุญพา : การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากดอกกุหลาบเหลือทิ้งโดยใช้ทักษะวิศวกรสังคมเป็นฐานของชมรม LPRU สืบสานปณิธานงานของพ่อ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 2024-05-30T02:32:03+00:00 ชุติมา ฤาชัย poupee112@hotmail.com รติมา บุตรชานนท์ ratima6686@gmail.com ชมรม LPRU สืบสานปณิธานงานของพ่อ ratima6686@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ (1) ส่งเสริมสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนวัดศรีล้อม (2) เพื่อให้เยาวชนและคนในชุมชนเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของโบราณสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ (3) เพื่อลดปัญหาดอกกุหลาบเหลือทิ้งภายในบริเวณวัดศรีล้อม ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง โดยใช้ทักษะวิศวกรสังคมของชมรม LPRU สืบสานปณิธานงานของพ่อ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางเป็นฐาน เป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามความพึงพอใจและมีการจัดกิจกรรมในการส่งเสริมศักยภาพให้กับชาวบ้านในชุมชนวัดศรีล้อม&nbsp;</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า ผลิตภัณฑ์บุหงาบุญพาที่นำเอาดอกกุหลาบเหลือทิ้งมาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการทำเป็นบุหงาบุญพาเพื่อเสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชนวัดศรีล้อมโดยใช้ทักษะวิศวกรสังคมเป็นฐาน ผู้ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 104 คน&nbsp; ซึ่งมีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินฯ</span> <span style="font-weight: 400;">ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในเรื่องสามารถนำความรู้ ความเข้าใจ นำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน</span> <span style="font-weight: 400;">(ค่าเฉลี่ย </span><span style="font-weight: 400;">4.20</span><span style="font-weight: 400;">) รองลงมาคือ สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และสามารถนำความรู้ความเข้าใจและทักษะที่ได้รับไปถ่ายทอด&nbsp; ขยายผลและเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ (ค่าเฉลี่ย </span><span style="font-weight: 400;">4.17 </span><span style="font-weight: 400;">และ </span><span style="font-weight: 400;">4.14) </span><span style="font-weight: 400;">ตามลำดับคนในชุมชนวัดศรีล้อมสามารถนำเอาผลิตภัณฑ์บุหงาบุญพาสร้างรายได้ให้กับตนเองเยาวชนและคนในชุมชนเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของโบราณสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์และดอกกุหลาบเหลือทิ้งภายในวัดศรีล้อมมีจำนวนที่ลดลง และพร้อมเป็นโมเดลต้นแบบด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไป </span></p> 2024-05-29T08:40:52+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1264 วิธีการลด ละ เลิกการดื่มสุราและของมึนเมาตามหลักพระพุทธศาสนา 2024-05-30T03:07:28+00:00 พระนพดล อตฺตทโม noppadon.don111@gmail.com พัลลภ หารุคําจา noppadon.don111@gmail.com ผศ.ดร.ปกรณ์ มหากันธา noppadon.don111@gmail.com พระครูปลัดกิตฺติพงษ์ กิตฺติโสภโณ (วงศ์สถาน) noppadon.don111@gmail.com อาจ เมธารักษ์ noppadon.don111@gmail.com <p>บทความนี้มีจุดมุ่งหมายในการเขียนเพื่อชี้ให้เห็นถึงวิธีการลด ละ เลิกการดื่มสุราและของมึนเมาตาม<br>หลักพระพุทธศาสนา ในสังคมของคนเราทุกวันนี้ ล้วนแต่มีสุราและของมึนเมามาเกี่ยวข้องกับชีวิต ทุก<br>เทศกาลไม่ว่าจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ทําบุญวันเกิด แม้แต่งานศพ เรา<br>ก็มักจะเอาสุราและของมึนเมามาเลี้ยงในงานกันจนเกิดเป็นประเพณีนิยมไปแล้ว การแก้ปัญหาน้ําเมาต้อง<br>อาศัยการแก้ปัญหาในหลายส่วนร่วมกัน พระพุทธเจ้านั้น พระองค์เน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเมื่อไม่มี<br>เหตุเกิด ย่อมไม่มีผลที่จะตามมา ปัญหาน้ําเมานั้น ปัญหาสําคัญอยู่ที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น บุคคลเป็นผู้ก่อเหตุ<br>บุคคลเป็นผู้ดื่มน้ําเมา ฉะนั้นแล้วการแก้ปัญหาจึงควรเริ่มจากตัวเราเป็นอันดับแรก แนวทางในการลด ละ<br>เลิกสุราตามหลักพุทธธรรมนั้น จึงเป็นการรู้จักใช้หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา เพื่อแก้ปัญหาอันเกิดขึ้น<br>แก่ตัวบุคคลผู้ดื่มสุราเป็นเครื่องย้ําเตือนว่า ไม่มีใครเตือนสติเราได้มากกว่าเรา ตนเตือนตนให้พ้นผิด เป็น<br>หลักการที่จริงแท้ ปัญหาน้ําเมาจะหมดไปหากได้ทําการแก้ไขตรงจุด นั่นก็คือการพัฒนาจิตใจของตนเองให้<br>สูงขึ้น เพราะจิตใจที่ไม่เข้มเข็งพอย่อมอ่อนไหวต่อแรงกระตุ้นเร้าของกิเลส การนําหลักธรรมต่างๆ ของ<br>พระพุทธศาสนา เช่น หลักไตรสิกขา เบญจศีล-เบญจธรรม หลักสติสัมปชัญญะ และหลักธรรมอื่นๆ มา<br>ประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาการดื่มสุราและของมึนเมาจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่ง</p> 2024-05-29T08:43:12+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1266 แนวคิดและหลักการการพัฒนาจิตและปัญญาตามแนวสติปัฏฐาน 4 2024-05-30T03:00:50+00:00 แม่ชีวิไลพร ขอนพันธ์ jane.wilaiporn@gmail.com ภารดี พูลประภา เอี่ยมเจริญ jane.wilaiporn@gmail.com ชญาน์นันท์ อัศวธรรมานนท์ jane.wilaiporn@gmail.com พลสรรค์ สิริเดชนนท์ jane.wilaiporn@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์การเขียนเกี่ยวกับแนวคิดและหลักการการพัฒนาจิตและปัญญาตามแนวสติปัฏฐาน 4 การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ได้รับการพัฒนาจิตใจ และเมื่อสติเกิดความตั้งมั่นจนเกิดปัญญาญาณ&nbsp; เป็นปัญญาที่หยั่งรู้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง กิเลสจะหมดไป โดยสิ้นเชิง สามารถที่จะพ้นทุกข์ และบรรลุมรรค ผลนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงหลักการเจริญสติปัฏฐาน 4 ไว้หลายแห่งในพระสุตตันตปิฎก แต่พระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างเต็มรูปแบบเรียกว่า “มหาสติปัฏฐานสูตร” แนวคิดและหลักการการพัฒนาจิตและปัญญาในพระพุทธศาสนาตามแนวสติปัฏฐาน&nbsp; 4 1) การขึ้นกัมมัฏฐาน 2) แนวทางการปฏิบัติธรรม 3) การปฏิบัติตามแบบฝึกหัด &nbsp;การกราบสติปัฏฐาน &nbsp;แนวทางการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ การกำหนดอิริยาบถย่อย&nbsp; การกำหนดอิริยาบถนอน การกำหนดเวทนา การกำหนดจิต&nbsp; การกำหนดธรรม ด้านจิต ช่วยให้จิตใจสงบ มีสติ เพิ่มสมาธิ ความจำ และการคิดวิเคราะห์ ช่วยให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ลดความวิตกกังวล และความซึมเศร้า เพิ่มความสุข และความพึงพอใจในชีวิต และด้านปัญญา ช่วยให้มีทักษะในการตัดสินใจที่ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ช่วยให้เข้าใจตัวเอง และโลกรอบตัวมากขึ้น</p> 2024-05-29T08:45:55+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1263 วิถีใหม่ ชีวิตใหม่ บนรากฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2024-06-28T04:26:06+00:00 พระมหาโจ กตโจโจ pamahacho@gmail.com พระสมนึก จรโณ pamahacho@gmail.com อาภากร ปัญโญ pamahacho@gmail.com พนม ศรีเผือด pamahacho@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการเขียนเกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงการแพร่ระบาดของโควิดด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ คนในสังคมจำเป็นต้องมีสติใช้ชีวิตอย่างมีสติ &nbsp;ต้องรู้จักพึ่งพาตนเองในยามที่วิกฤติ &nbsp;วิถีใหม่ชีวิตใหม่บนรากฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง แนวทางการดำเนินชีวิตที่ปรับเปลี่ยนจากเดิม เน้นการพึ่งพาตนเอง ใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ และรู้จักแบ่งปัน ซึ่งต้องอาศัยการพึ่งพาตนเองให้มาก พัฒนาทักษะอาชีพ คุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงทางด้านการบริโภคและอุปโภคที่พอเหมาะแก่ความต้องการของร่างกาย การใช้ชีวิตอย่างพอประมาณรู้จักเก็บออม ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล ไม่ประมาท รู้จักการแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่น ร่วมด้วยช่วยกันในการพัฒนาครอบครัวชุมชน สร้างสังคม และประเทศชาติที่ยั่งยืน โดยยึดหลักแนวทางดำเนินชีวิต ดังนี้ 1. ยึดความประหยัด 2. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยควาถูกต้องสุจริต 3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าขาย 4. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางในชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก 5. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีลดละสิ่งยั่วกิเลสให้หมดสิ้นไป สิ่งนี้เกิดเป็นวิถีใหม่ในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อเราจำต้องปฏิบัติเป็นปกติต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่งจนเกิดเป็นความพอใจ ในที่สุดทั้งหมดนี้ก็ได้กลายเป็น New Normal ในสังคมปัจจุบันนั่นเอง&nbsp;</p> 2024-05-29T00:00:00+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1299 แนวทางเสริมสร้างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา 2024-05-30T02:25:29+00:00 พระมหาปุณณ์สมบัติ บุญเรือง lannakubapoon@gmail.com พระมหาเจริญ กระพิลา Charoen4550@gmail.com พระทศพล โสภาอินทร์ tossophain@gmail.com สมิตไธร อภิวัฒนอมรกุล Caruprince@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาหลักสังคหวัตถุตามคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและผู้รู้ทั้งหลาย 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา และ 3) เพื่อเสนอแนวทางเสริมสร้างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) วิธีการเก็บข้อมูลภาคสนาม&nbsp; เลือกกลุ่มศึกษา/ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จากนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา จำนวน 10 รูป/คน เพื่อสอบถามสภาพสิ่งแวดล้อมและนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัย</span></p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p><span style="font-weight: 400;">1.หลักสังหควัตถุเป็นหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่เชื่อมโยงหรือประสานโลกและคนในสังคมในการอยู่ร่วมกับสังคมมอย่างมีพื้นที่ความสุขและทำให้เป็นพลวัตสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่เหมาะสม</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">2.นักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา ส่วนมากได้ปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะข้อการให้ทานด้วยการเสียสละแบ่งปัน การเอื้อเฟื้อเห็นอกเห็นใจผู้อื่น</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">3.แนวทางเสริมสร้างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุนั้น ควรจะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่สอดคล้องกับหลักสังคหวัตถุธรรมด้วยการใช้กิจกรรมที่หลากหลายและเหมาะสม อันจะสอดรับกับเนื้อหาและกิจกรรมในแต่ละวัย ซึ่งก็รวมถึงการทำอย่างต่อเนื่องและสร้างคนคุณธรรมต้นแบบด้วยในเวลาเดียวกันเพื่อให้เกิดการขยายอุปนิสัยที่ดีเหล่านี้ส่งต่อไปยังสังคมและคนรอบข้าง</span></p> 2024-05-29T08:50:13+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1297 กาลิงคโพธิชาดกที่มาของพฤกษเจติยะในฐานะสายดือทวีป 2024-05-30T03:17:58+00:00 พระพงษ์ระวี โหลิมชยโชติกุล uttarapaddho@gmail.com พระมหาวิทยา พลวฑฺฒโน (บุรีเลิศ) uttarapaddho@gmail.com พระสุรเกียรติ จนฺทปญโญ (บุญมาตุ่น) uttarapaddho@gmail.com ปานลิขิต ลิขิตกาญจน์ uttarapaddho@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ&nbsp; </strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มุ่งนำเสนอแนวคิดการสร้าง สถาปนาพระสถูปเจดีย์ในพุทธศาสนา อันมีที่มาจากคติถูปาหารบุคคล คือบุคคลที่ควรแก่การสร้างสถูปบูชาแล้วยังมีสิ่งที่พระศาสดาให้ความสำคัญ ว่าสามารถเป็นเครื่องรำลึกแทนพระองค์ได้ คือต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ทรงประทับในคราตรัสรู้นั้นเอง&nbsp; จากความสำคัญของต้นโพธิ์ตรัสรู้ และสถานที่อันเป็นชัยภูมิคือโพธิมณฑลซึ่งเป็นสายดือทวีป และคติการแสวงบุญบูชาสังเวชนียสถาน ในกาลต่อมาคติดังกล่าวได้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสถาปนาพระเจดีย์ในพระศาสนาในยุคสมัยต่างๆ ในดินแดนล้านนาเองก็เช่นกันจากการศึกษาตำราการร้างธาตุเจดีย์ก็ล้วนระบุการจำลองโพธิมณฑลเป็นศนย์กลางของผังมณฑลตั้งแต่รับฐานราก&nbsp;&nbsp; โดยในบทความนี้ ผู้เขียนต้องการนำเสนอ 1. คติโพธิบูชาในครั้งพุทธกาล ความหมาย คุณค่าและการตีความในแง่มณฑลจักรวาล 2. คติโพธิบูชา กับการสร้างสถาปนาพระธาตุเจดีย์ในอาณาจักรล้านนา จากพับสาตำราการสร้างเจดีย์อักษรธรรมล้านนา 3. คุณค่า ภูมิปัญญา การสืบเนื่องของคติโพธิมณฑล โพธิบูชากับสังคมล้านนาในปัจจุบัน ซึ่งการตีความ ที่เกี่ยวข้องกับคติมหาโพธิมณฑล จุดศูนย์กลางจักรวาลตามคติพุทธ ภายใต้กระบวนทัศน์และบริบทที่หลากหลายจะทำให้เข้าใจโลกทัศน์สภาพสังคมล้านนามากขึ้น</p> 2024-05-29T08:18:34+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1245 A Development of Ethical Leadership, and the Cause-and-Effect Factors of Ethical Leadership Scales for Students at Thailand National Sports University 2024-05-31T05:27:12+00:00 Jutatip Suangsuwan jutasu5@hotmail.com <p>This secondary research developed student ethical leadership and its causes and effects<br>scales. There were six objectives: 1) To examine the construct validity of the ethical leadership;<br>and its cause and effect; 2) To examine the discriminatory power of the developed scales; 3 )<br>To create T-normal criteria for measuring the variables; 4) To examine the slope parameters of<br>each item and the Threshold values of variables; 5) To examine the different functions of items<br>on each variable; and 6) To compare the number of validated items using Classical Testing<br>Theory (CTT) and Item Response Theory (IRT) methods. The secondary data set comprises 1,048<br>students from the 16 campuses of Thailand National Sports University (TNSU). The research<br>procedures were as follows: 1 ) Reviewing research documents regarding the meaning<br>components of ethical leadership, its causes and effects in primary research; 2) Carrying out data<br>analysis to answer the research objectives, including analyzing the difference in mean scores<br>using the independent t-test; 3) Checking the structural validity of the variables by confirmatory<br>factor analysis; 4) Creating measurement criteria by finding normalize T-score; 5) Analyzing<br>according to the IRT concept by examining the joint slope parameters of the items and its<br>Threshold values of each answer item in each variable with Multilog program; 6) Checking the<br>different functions of each item with the SIBTEST program; and 7) Comparing the number of<br>items that pass the criteria of CTT and IRT using t-test dependent.<br>The main research results can be summarized as follows: (1 ) All 62 variables are<br>validated: the index values of all models were not statistically significant. (2) The developed<br>scales have discriminatory power. The results of testing the difference in the mean scores of the<br>group of people with high, and low score for each variable show that t-values for each variable<br>and its items are statistically significant (p value &lt;.01). (3) The normalized T score for all 62<br>variable scales in the raw score ranged from 2to 20 points. The normalized T score ranged from<br>2.25 to 65.24. Sample characteristics that be measured can be classified into three groups,<br>namely, those with low, medium, and high measurement score. (4 ) The common slope<br>parameters of each item assessment item and the Threshold value of each answer item for all<br>211 items of 62 variables have β values distributed over a range of <br>2<br>. The slope parameters of<br>142<br>the item ranged from 2.17 to 6.86, and the Threshold values of each answer item were<br>β1&lt;β2&lt;β3&lt;β4. (5) Items in each variable classified according to the background of the sample<br>(e.g., gender, faculty, year of study, region, etc.) reveal that there were 13 items biased toward<br>gender, 19 items biased toward faculty, 16 items biased toward year of study, and 7 questions<br>biased toward region. (6) Questions examined by analysis using CTT and IRT methods indicate<br>that 27 of 62 variables had the same number of questions. There were 33 variables with no<br>statistically-significantly difference, and there were only two variables with a distinct difference<br>in their average number of scales.</p> 2024-05-31T05:24:09+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1227 ความสัมพันธ์ของคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพันต่อองค์การ ของครูผู้สอนในศูนย์การศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2024-05-31T04:26:11+00:00 ปุญญพัฒน์ จินะ chakri.pyp@gmail.com ภาสกร เรืองรอง ccpasskn@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพัน<br> ต่อองค์การของครูผู้สอนในศูนย์การศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ <br> เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยใช้แบบสอบถามที่มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนในศูนย์การศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 196 คน ได้จากกำหนดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน และวิธีการได้มาของกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น สถิติที่ใช้<br> ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์<br> ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">คุณภาพชีวิตการทำงานของครูผู้สอนในศูนย์การศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพ<br> ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความเกี่ยวข้องกับสัมพันธ์กับชุมชน สังคม</li> <li class="show">ความผูกพันต่อองค์การของครูผู้สอนในศูนย์การศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพ<br> ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยรวมและรายอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความปรารถนาที่จะรักษาสมาชิกภาพขององค์การไว้</li> </ol> <p>3. ความสัมพันธ์ของคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพันต่อองค์การของครูผู้สอนในศูนย์การศึกษาพิเศษ เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยรวมมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอยู่ในระดับสูงมาก มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ .817 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-05-30T00:00:00+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1228 ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนคณิตศาสตร์ โรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ 2024-05-31T04:29:46+00:00 บุญบูรพ์ มณีแดง boonbroon.m@gmail.com อ้อมธจิต แป้นศรี boonbroon.m@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางของการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนคณิตศาสตร์ โรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้แบบสอบถามกับครูผู้สอนคณิตศาสตร์ โรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 93 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>การศึกษาความต้องการจำเป็นของสมรรถนะครูผู้สอนคณิตศาสตร์ โรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ สมรรถนะด้านทักษะ มีดัชนีความต้องการจำเป็นมากที่สุด รองลงมา คือ สมรรถนะด้านความรู้</p> 2024-05-30T00:00:00+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1281 การพัฒนาความสามารถการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดห้วยไร่ 2024-06-06T07:37:07+00:00 พุทธิพล เก่งไฉไล phu.combig@gmail.com ศุภัทรพงษ์ คุณยศยิ่ง phu.combig@gmail.com ชาญวิทย์ อนุรักษ์พงพี phu.combig@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดห้วยไร่ ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ รูปแบบการวิจัย กึ่งทดลอง ด้วยวิธีการใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดียว เพื่อวัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบ และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดห้วยไร่ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ อยู่ในระดับปานกลาง</p> 2024-06-06T00:00:00+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1289 การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Capital Letter โดยใช้ซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดป่าตัน 2024-06-06T07:43:32+00:00 นางสาวอารียา เมืองมูล ais0849508012@gmail.com พระพิทักษ์ ฐานิสฺสโร khunlookmunoi@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนภาษาอังกฤษ Capital Letter โดยใช้ซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดป่าตัน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ซิปปาโมเดล (CIPPA Model) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดป่าตัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t-test แบบ Dependent Sample</p> <p>&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์เขียนภาษาอังกฤษ Capital Letter โดยใช้ซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดป่าตัน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ผลความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ซิปปาโมเดล (CIPPA Model) อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-06-06T07:41:42+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1328 การพัฒนามนุษย์ในยุคดิจิทัล 2024-06-25T07:27:33+00:00 พระครูสุนทรมหาเจติยานุรักษ์ มาตย์วงค์ boonnam1628@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;">บทความวิชาการนี้ มุ่งเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนามนุษย์ในยุคดิจิทัล เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคคลที่จำเป็นในยุคดิจิทัล เป็นการเรียนรู้พัฒนาทักษะสมัยใหม่ เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกับบุคคลและทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้บุคคลสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงได้อย่างเหมาะสม การพัฒนามนุษย์ในยุคดิจิทัลจึงเป็นเส้นทางสำคัญที่ช่วยสร้างสรรค์และปรับปรุงสังคมที่มีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้ในระยะยาว โดยทั้งรัฐบาล เอกชน และองค์กรต่าง ๆ เป็นผู้รับผิดชอบในการส่งเสริมและพัฒนาความรู้และทักษะด้านดิจิทัลให้กับประชากรทั่วไปอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยุคดิจิทัลกำลังส่งผลต่อการพัฒนามนุษย์อย่างมีนัยสำคัญจึงมีความจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อให้มั่นใจถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยข้อสรุปของการศึกษาชิ้นนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะดิจิทัล แนวโน้มและปรากฏการณ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนามนุษย์ ทักษะที่จำเป็นและวิธีการพัฒนามนุษย์ในยุคดิจิทัล การพัฒนามนุษย์ตามหลักการทางพระพุทธศาสนาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของมนุษย์ และเสริมสร้างสังคมที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันเพื่อให้มั่นใจถึงการพัฒนามนุษย์ที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล</span></p> 2024-06-25T07:27:33+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1239 ความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในจังหวัดลำปาง 2024-06-25T07:33:28+00:00 สอาด สุรินทร์ sa_ard@windowslive.com กาญจนา ภาสุรพันธ์ saard.s@ovec.moe.go.th <p><span style="font-weight: 400;">บทความการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในจังหวัดลำปาง 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจของบุคลากรต่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในจังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ บุคลากรของครู ในสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในจังหวัดลำปาง จำนวน 250 คนซึ่งมาจาก วิทยาลัยเทคนิคลำปาง จำนวน 113 คน วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง จำนวน 46 คน วิทยาลัยสารพัดช่างลำปาง จำนวน 20 คน วิทยาลัยเทคนิคนครลำปาง จำนวน 27 คน วิทยาลัย การอาชีพเถิน จำนวน 13 คน วิทยาลัยเทคนิคการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแม่เมาะ จำนวน 20 คน และวิทยาลัยการอาชีพแจ้ห่ม จำนวน 11 คน โดยใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษา 4 ด้านคือ ด้านงานจัดหาบุคลากร ด้านงานดูแลรักษาบุคลากร ด้านการควบคุมดูแลบุคลากร และด้านคุณภาพชีวิตในการทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวน (F-test)</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า 1) ความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล 4 ด้านโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย 3.89 และมีค่าเฉลี่ยเรียงตามลำดับดังนี้ ด้านงานดูแลรักษาบุคลากร (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.938) ด้านคุณภาพชีวิตในการทำงาน (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.886) ด้านการควบคุมดูแลบุคลากร (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.882) และด้านงานจัดหาบุคลากร (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.873) 2). ผลการศึกษาเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล จำแนกตามประเภทบุคลากร พบว่าประกอบด้วยกลุ่มข้าราชการจำนวน 117 คน (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.072) พนักงานราชการจำนวน 18 คน (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.304) และครูพิเศษสอน จำนวน 115 คน (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.886) มีความพึงพอใจแตกต่างกันโดยมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จำแนกบุคลากรตามประเภทสถานศึกษาพบว่าประกอบด้วย วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.331) วิทยาลัยเทคนิคลำปาง (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.173) วิทยาลัยการอาชีพเถิน (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.156) วิทยาลัยการอาชีพแจ้ห่ม (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.939) วิทยาลัยเทคนิคการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแม่เมาะ (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.938) วิทยาลัยสารพัดช่างลำปาง (</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 3.810) วิทยาลัยเทคนิคนครลำปาง(</span><span style="font-weight: 400;">X</span><span style="font-weight: 400;"> = 2.921) มีความพึงพอใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05&nbsp;</span></p> 2024-06-25T07:33:28+00:00 ##submission.copyrightStatement## https://firstojs.com/index.php/MBU/article/view/1329 มูลค่าและคุณค่าของ “มูเตลู” ในประเทศไทย ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา 2024-06-25T07:44:57+00:00 ชวนพิศ นภตาศัย napatasai@gmail.com พระครูสิริธรรมเมธี (อุดร ทีปวํโส) napatasai@gmail.com พระพงษ์ระวี อุตฺตรภทฺโท (โหลิมชยโชติกุล) napatasai@gmail.com พระรัฐพงค์ อาจิณฺณธมฺโม (ทองแปง) Ruttaphong2539@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;">บทความนี้ มุ่งเสนอผลการสำรวจมูลค่าและคุณค่าของไสยศาสตร์ของประเทศไทย เพื่อพยากรณ์ทิศทางของปรากฎการณ์ความเชื่อไสยศาสตร์ในประเทศไทยอันอาจส่งผลต่อสถานะของพระพุทธศาสนาในอนาคต เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาเชิงปฏิบัติในสังคมไทย ไม่ใช่พุทธบริสุทธิ์ที่เน้นสาระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ หากแต่เป็นพุทธศาสนาที่ผสมผสานความเชื่อแบบไสยศาสตร์อย่างกลมกลืนกับวิถีชีวิตชาวบ้าน มีการสร้างวัตถุมงคล สร้างเรื่องราวตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ เพื่อปลุกเร้าความต้องการให้เกิดการเช่าบูชา จนเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ซึ่งบางส่วนก็ไม่ปรากฎในระบบรายรับและภาษีอย่างชัดเจน แต่หากผลักดันให้เป็นระบบก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือผลักดัน ซอฟท์ เพาเวอร์ของชาติเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มั่นคงขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมายในวิถีความเชื่อของคนไทยอยู่แล้ว เนื่องด้วยตั้งแต่ทศวรรษ 2520 ตลาดความเชื่อ เติบโตและฝังแน่นในสังคมไทย ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไร เศรษฐกิจจะเฟื่องฟูหรือถดถอย ธุรกิจไสยศาสตร์ไม่เคยซบเซา มูลค่าทางเศรษฐกิจเรื่องนี้สามารถช่วยฟื้นฟูความมั่นคงของชาติได้ คุณค่าของไสยศาสตร์จึงมีประโยชน์ในแง่เป็นเครื่องมือของ ซอฟท์ เพาเวอร์ทางวัฒนธรรม ที่มีโอกาสเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด ตราบที่มนุษย์ยังต้องการความมั่นคงทางใจ และพฤติกรรมมนุษย์สมัยใหม่ที่ใส่ใจตัวเองมากกว่าผู้อื่น คนส่วนใหญ่จึงยึดเหนี่ยววัตถุทางความเชื่อมากกว่าจะพึ่งพิงเพื่อนมนุษย์หรือหลักธรรมของศาสนา หากสังคมยุคใหม่มุ่งใช้ไสยศาสตร์เพื่อประโยชน์ในการสร้างเศรษฐกิจของชาติ ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในระยะยาว ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดจากซอฟท์เพาเวอร์ไสยศาสตร์อิงพุทธอย่างรู้เท่าทัน และลงมือดำเนินการเผยแผ่คุณค่าของพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ เพื่อสร้างสมดุลในคุณค่าของศาสนาให้เป็นที่รับรู้ที่ถูกต้องของชาวพุทธในประเทศไทย และเพื่อจรรโลงของพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป</span></p> ##submission.copyrightStatement##